Written by 2:04 pm Memoir

เกิดบนเรือนมลายู 3

นิทานก่อนนอน

ครอบครัวเรานอนไม่ค่อยดึกนัก ประมาณสามทุ่มกว่าๆก็หลับกันทั้งบ้านแล้ว จะมียกเว้นอยู่บ้างในคืนวันศุกร์ที่เราจะรอดูหนัง P.Ramlee จากทีวีคลื่นของมาเลเซีย ไม่ใช่แค่ครอบครัวเราหรอก คนที่นี่ส่วนใหญ่ก็นอนกันเร็วกันทั้งนั้น กลางคืนเราไม่ค่อยมีกิจกรรมอะไรให้ทำมากนัก ตามถนนหนทางก็มืดไปหมด ตอนนั้นยังไม่มีไฟฟ้าใช้ในบ้านเรือนอย่างสมัยนี้ ไม่มีแสงสว่างของไฟฟ้าตามรายทาง ทุกบ้านใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ทำจากกระป๋อง ใช้ไส้จากเชือกป่านกระสอบข้าวสารหรือไม่ก็ใช้ด้ายดิบมาฟั่นเป็นเกลียว มีเรือนแค่ไม่กี่หลังที่ใช้ตะเกียงเจ้าพายุ

ที่ห้องแถวข้างบ้านผมมีครอบครัวคนจีนเปิดร้านบัดกรี เตี่ยกับอาม๊าแกมาจากเมืองจีน อายุมากแล้ว ผมมักได้ยินเตี่ยแกล้งเล้งภาษาจีนใส่ลูกหลานเป็นประจำ แกพูดภาษามลายูได้บ้าง แต่ก็ฟังยากเต็มทีสำหรับผม แกพูดมลายูที่ไร ผมก็ฟังเป็นภาษาจีนทุกที อาเตี่ยมักจะทักเวลาที่ผมเดินผ่านหน้าร้านแกว่า “ลื่อ กื่อ ตี ก่อ” ผมก็จะตอบเป็นภาษามลายูแบบทันทีเหมือนกันว่า “ฆี กือดา” แปลว่าไปตลาด มีบ้างที่บางทีนึกครื้มอกครื้มใจก็จะตอบอาเตี่ยแกไปว่า “กือ ตักลัก” แกก็จะหัวเราะชอบใจ ผมเรียกลูกชายแกว่า “โกฟา” เป็นช่างบัดกรีที่เก่งมาก ผมเห็นโกฟาทำได้ทุกอย่าง แกใช้ฆ้อนเหล็กเล็กๆและท่อนไม้ เคาะพับแผ่นสังกะสีขึ้นรูปทรงเป็นอะไรก็ได้ ถังน้ำ ตะกงใส่น้ำยาง ตะเกียงกรีดยาง รับทำ-ซ่อมและติดตั้งรางน้ำสังกะสี เรือนหลังไหนที่รางน้ำบนหลังคาผุก็มักจะตามโกฟาไปเปลี่ยนให้ทั้งนั้น ทำให้โกฟาพูดภาษามลายูได้คล่องมากทีเดียว วันไหนที่ว่างๆ โกฟาก็จะเอากระป๋องนมข้นหวานและเศษสังกะสีมาบัดกรีทำเป็นตะเกียงน้ำมันก๊าดไว้ขาย ทาสีน้ำมันและร้อยเป็นพวงแขวนในร้านแก ซึ่งขายดีมากทีเดียว มีพ่อค้าจากต่างถิ่นมาเหมาซื้อเพื่อไปขายต่อเป็นประจำ

ห้องนอนบนเรือนมลายู


นอกเหนือจากตะเกียงเจ้าพายุที่พ่อจะแขวนตรงโถงกลางเรือน ตามจุดอื่นๆเราก็จะใช้ตะเกียงน้ำมันก๊าดที่ซื้อมาจากร้านโกฟาข้างบ้านนี่แหละ ตรงโถงกลางเรือนนี่เป็นที่รวมของสมาชิกครอบครัวเรา หลังทานมื้อเย็นและละหมาดกันเสร็จสรรพทุกอย่างแล้ว แต่ละคนก็จะมีกิจกรรมส่วนตัวทำกัน พี่ๆนั่งทำการบ้านโดยใช้ตะเกียงส่อง แม่ก็ทำโน่นทำนี่ไปเรื่อยตามประสาคนที่อยู่ว่างไม่ได้ ส่วนพ่อจะนอนฟังวิทยุคลื่นสั้นที่ส่งสัญญานจากประเทศสิงคโปร์บนเสื่อกระจูด ถ้าเป็นข่าวประจำวันที่ไม่สำคัญอะไร พ่อมักจะเรียกผมและน้องๆมานั่งด้วย เรียกให้มาเหยียบหลังบ้าง นวดขาบ้าง ทุบไหล่บ้าง ตามแต่อารมณ์ของแก และบ่อยครั้งที่พ่อจะใช้ให้พวกผมถอนขนจั๊กกะแร้แก วิธีการถอนขนจั๊กกะแร้ให้พ่อนี่ เราต้องเอาปูนขาวเปียกๆใน “จือรานอ” หรือเชี่ยนหมากมาทาจั๊กกะแร้พ่อให้ทั่วก่อน พอปูนขาวแห้ง เราก็จะช่วยกันถอนจนเกลี้ยง เหมือนกับคนสมัยนี้ใช้แว๊กซ์กำจัดขนอยู่เหมือนกัน

พวกเรากระตือรือร้นและดีใจเสมอไม่ว่าพ่อจะใช้ให้เหยียบหลังหรือถอนขนจั๊กกะแร้ ไม่ใช่เพราะกลัวเกรงพ่อหรืออยากปรนนิบัติพ่อมากมายขนาดนั้นหรอก ที่เราสนใจคือค่าจ้างที่พ่อให้หลังถอนขนจั๊กกะแร้ต่างหาก นั่นคือนิทานที่พ่อต้องเล่าให้พวกเราฟังก่อนนอน บ่อยครั้งที่เราต่อรองให้พ่อเล่านิทานในขณะที่กำลังนวดขาหรือทุบไหล่ เพราะอยากฟังนิทานเสียเร็วๆ

นิทานที่พ่อเล่าให้ฟังส่วนใหญ่จะเป็นนิทานพื้นบ้าน เรื่องเป๊าะเน-เม๊าะเน กระจงเจ้าเล่ห์ ราญาเบอซียงหรือราชาเขี้ยว ซึ่งเป็นตำนานการสร้างเมืองเกอดะห์(ไทรบุรี)หรือตำนานมะโรงมหาวงศ์ เรื่องอบูนาวัส เรื่องของโมเสสกับฟาโรห์ เรื่องนบียูซุฟ เรื่องน้ำท่วมโลกในสมัยนบีนุฮ์หรือโนอา และอีกสารพัดเรื่องที่ผมเองก็ลืมๆไปแล้ว พ่อคงจำนิทานเหล่านี้จากปู่-ย่า อาจจะรวมไปถึงทวดมาเล่าให้พวกเราฟังอีกที คงมีเพียงเรื่องอบูนาวัสและประวัติของนบี(ศาสดา)ต่างๆกระมังที่พ่อจำมาจากดินแดนอาหรับ ในบรรดานิทานที่พ่อเล่าให้ฟัง เรื่องที่พวกเราชอบมากที่สุดเป็นเรื่องเป๊าะเน-เม๊าะเนและกระจงเจ้าเล่ห์ ทั้งสองเรื่องนี้มีตอนย่อยๆอีกหลายต่อหลายตอน เรื่องเป๊าะเน-เม๊าะเนเป็นเรื่องของผัวเมียสองคนที่ซื่อๆ ไม่ทันคนหรือไม่ค่อยฉลาดมากนัก พวกเรามักจะขำกับความเปิ่น ความซื่อของเป๊าะเน-เม๊าะเนเสมอ ส่วนเรื่องกระจงเจ้าเล่ห์ เป็นเรื่องการชิงไหวพริบ หรือความเจ้าเล่ห์ในการเอาตัวรอดของกระจงที่มีต่อสัตว์ต่างๆในป่า ทั้งสองเรื่องนี้พ่อมักจะถูกพวกเราร้องขอให้เล่าซ้ำๆอย่างไม่รู้เบื่อ

มีเพียงเรื่องที่เกี่ยวกับ “ผี” ที่พ่อไม่เคยเล่าให้พวกเราฟัง ไม่รู้ว่าเพราะพ่อไม่มีความทรงจำในเรื่องผีหรือเพราะพ่อไม่เชื่อเรื่องผีก็ไม่รู้ พ่อผมไม่เชื่อว่าโลกนี้มีผี แต่เชื่อว่า “ญิน(Jin)” ต้องมีอย่างแน่นอน เรื่องผีที่ผมรู้ เป็นการฟังจากพี่เลี้ยงและคนอื่นเสียมากกว่า ผมเองในสมัยเด็กก็เป็นพวกที่กลัวผีขึ้นสมองคนหนึ่ง จากการฟังเรื่องเล่าเกี่ยวกับผีมาหลายต่อหลายเรื่อง และแม่ผมก็เป็นคนหนึ่งที่เชื่อว่าผีน่าจะมีจริง หลายๆครั้งที่ผมตื่นมากลางดึกเพราะปวดฉี่ เรือนที่เงียบสนิท มีแสงสว่างริบหรี่จากตะเกียง ทำให้ผมไม่กล้าไปฉี่ในห้องน้ำที่อยู่ไกลจากห้องนอน ผมก็จะแอบไปฉี่ตรงชานที่ต่อกับเรือนครัว ตรงนั้นจะตีพื้นเว้นร่อง ผมจะนอนคว่ำแหย่ “กอตัย(ไอ้จ้อน)” ตรงร่องกระดานแล้วฉี่ลงไปใต้ถุนเรือน ฉี่เสร็จก็ไม่ล้างกอตัยแล้ว รีบวิ่งเข้านอนคลุมโปงทันที มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ผมฉี่ที่ร่องกระดาน ผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมางับปลายจะงอยกอตัยผมเบาๆ ผมนี่รีบลุกพรวด วิ่งไปเรียกแม่ที่หน้าห้องนอนแม่ทันที พ่อกับแม่ตื่นมาฟังเรื่องที่ผมเล่าว่ามีผีมาดึงปลายจะงอยกอตัยผม แม่ปลอบผม แต่พ่อหัวเราะ และบอกว่า “จิ้งจกใต้ถุนบ้านมันคงเห็นกอตัยแกเป็นแมลง มันก็งับเข้าให้นะสิ ดีที่ไม่ขาด ไม่งั้นก็สบาย ไม่ต้องเข้าพิธีสุนัตแล้ว ฮ่ะ ฮ่ะ ฮ่ะ” พ่อหัวเราะ แล้วไล่ผมกลับไปนอน หลังจากวันนั้นผมไม่ฉี่ที่ร่องกระดานอีก แต่จะปลุกพี่สาวให้เป็นเพื่อนไปห้องน้ำ กลัวจิ้งจกงับกอตัยเข้าให้อีกหน

ไหนๆก็พูดถึง “ผี” แล้ว ก็ขอเล่าเรื่องผีเสียหน่อย สมัยนั้นใคร ๆ ก็กลัวผีกันเสียส่วนใหญ่ ด้วยบรรยากาศของชนบทแถวบ้านผมในสมัยนั้นมันเป็นใจให้เชื่อว่าผีมีจริง กลางคืนที่มืดสนิทไปแทบทุกที่ มีไฟสว่างจากตะเกียงตามเรือนของคนวับ ๆ วอมแวม เสียงแมลง เสียงสัตว์ที่หากินกลางคืนสลับกันร้องกับเสียงลมพัดยอดไม้ บรรยากาศมันเหมาะกับเรื่องผีมาก อย่าว่าแต่เด็กอย่างผมเลย ผู้ใหญ่ก็กลัว โต๊ะปาเก เด็กปอเนาะก็กลัวผีกันทั้งนั้น อาจจะยกเว้นโต๊ะครูกับสัปเหร่อกระมังที่ไม่กลัวผี แต่นั่นก็ไม่แน่นัก

ฮาตู (Hantu ผี)ของคนมลายูมีมากมายหลายผีทีเดียว ผมเคยไล่รายชื่อดูแล้วน่าจะมีมากกว่า 20 ผี เท่าที่จำได้มี ฮาตูบูกุห์ ฮาตูมะกอแปะ ฮาตูอาเนาะกือเราะ ฮาตูปารี ฮาตูรายอ ฮาตูฮุง แล้วอีกหลายชื่อที่จำไม่ค่อยได้แล้ว ฮาตูหรือผีแต่ละอย่างแต่ประเภทก็แตกต่างกันไป ส่วนมากมักจะเป็นผีเพศหญิงมากกว่า ผีมลายูจะไม่มีแบบหน้าตาเละๆน่ากลัวแบบผีไทย อย่างมากก็ไว้ผมยาว หน้าซีดๆและมีเขี้ยว ผีบางตัวลอยไปมาได้ บางผีก็หายตัวได้ ผีมลายูเน้นความน่ากลัวแบบลึกลับมีอิทธิฤทธิ์มากกว่าความน่ากลัวของหน้าตา

ผมเคยสงสัยว่าทำไมผีมลายูที่ผมเคยฟังถึงไม่มีหน้าตาน่ากลัวแบบผีไทยในหนังผี เลยตั้งสมมุติฐานอย่างหนึ่งว่า อาจจะเพราะคนมลายูซึ่งเป็นมุสลิม นิยมที่จะฝังศพคนตายอย่างเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ มุสลิมจะไม่เก็บศพแบบคนพุทธ มักจะฝังศพภายในวันหรือคืนที่มีผู้เสียชีวิต ซึ่งมักจะไม่เกิน 12 ชั่วโมง ทำให้คนมลายูมุสลิมไม่เคยเห็นศพที่ถูกเก็บไว้นาน ๆ ภาพจำของคนมลายูที่มีต่อศพ จึงเป็นภาพคนหน้าซีดๆที่ไม่หายใจ ไม่ใช่ภาพศพที่ตาหลุด ลิ้นห้อยแบบผีไทย

ผียอดนิยมที่เด็กมลายูรู้จักกันแทบทุกคนคือ ฮาตูมะกอแปะ (บางที่เรียกฮาตูมะกอแป) น่าจะแปลเป็นภาษาไทยว่าผีนางนมยาน ผีตัวนี้เป็นผียายแก่ๆนมยานๆ ชอบจับเด็กที่เล่นซ่อนหาตามที่เปลี่ยวๆไว้ใต้นมยาน ๆ ของนาง เวลาที่เล่นซ่อนหาและไม่มีใครหาเจอ ผมมักจะรีบออกมาจากที่ซ่อน กลัวฮาตูมะกอแปะจับไปซ่อนใต้นม เดี๋ยวแม่จะเรียกหาแล้วไม่เจอ ผีอีกตัวที่เขาเล่าให้ฟังว่าชอบหลอกหลอนชาวบ้านเวลาเดินผ่านกุโบร์(ป่าช้า)คือ ฮาตูบูกุห์ แปลว่าผีผ้าห่อศพ ผีตัวนี้หน้าตาเป็นอย่างไรไม่มีใครรู้ เพราะมันเป็นผีที่ห่อด้วยผ้าขาวทั้งตัว พูดได้ว่ามันคือศพที่เขาเอาไปฝังนั่นเอง ฮาตูบูกุห์ไม่มีฤทธิ์เดชอะไรมากเลย เวลาที่ออกมาหลอกหลอนผู้คนในตอนกลางคืนก็ทำได้แค่กลิ้งหลุนๆพร้อมผ้าห่อศพไล่ตามคนเดินผ่านกุโบร์ให้ขวัญเสียหนีแตกกระเจิงเล่นเท่านั้นเอง มีคนเล่าว่าฮาตูบูกุห์เที่ยวหลอนคนไปทั่ว ทั้งที่ยะลา ปัตตานีและที่อื่นๆที่มีกุโบร์ของชาวมลายูมุสลิม

ครั้งหนึ่ง พี่เขยคนโตผมเล่าให้ฟังว่า ฮาตูบูกุห์ตัวสุดท้ายอยู่ที่ยะหา(จังหวัดยะลา) แกเล่าว่ามีอยู่คืนหนึ่งฮาตูบูกุห์กลิ้งมาหลอกคนที่เดินผ่านกุโบร์ที่ยะหา บังเอิญว่าคนที่ถูกหลอกพกขวานติดตัว ด้วยความตกใจกลัวแทนที่จะวิ่งหนี กลับเอาขวานจามฮาตูบูกุห์จนยับไปทั้งตัว เรื่องมาแดงทีหลังว่ามีคนที่คะนองเอาผ้าขาวห่อตัวมากลิ้งเที่ยวหลอกผู้คน จนถูกขวานจามตายคาที่ หลังจากนั้นก็ไม่ได้ยินเรื่องฮาตูบูกุห์ออกมาหลอกหลอนอีกเลย หลังจากนั้นอีกไม่กี่ปี “ฮาตู” อื่น ๆ ก็ค่อย ๆ หายไปจากเรื่องเล่า เพราะเริ่มมีไฟฟ้าเข้ามาในหมู่บ้าน ทุกบ้านใช้ไฟฟ้า ฮาตูก็ไม่มีที่อยู่อีกต่อไป

(Visited 181 times, 1 visits today)
Close