Written by 8:08 am Health

วิ่งเพื่อชีวิต : “ใครก็ทำได้ กล้าพอหรือเปล่าเท่านั้น

เรื่องราวน่าสนใจของนักวิ่งรุ่นใหม่ หลายหลากสาขาอาชีพที่อยู่ในสามจังหวัดชายแดนภาคใต้ มาดูว่าพวกเขามีมุมมองต่อการวิ่งอย่างไร และอะไรทำให้เขาเหล่านี้ลุกขึ้นมาวิ่ง

อัมราณเป็นหนุ่มปัตตานี เติบโต และเรียนหนังสือจนจบปริญญาก็ที่ปัตตานี เรียนจบแล้วทำงานที่ คณะวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี มอ.ปัตตานี เขาเริ่มเข้าสู่วงการวิ่ง เมื่อสามปีที่แล้ว เพราะ “อกหัก” อัมราณบอกว่าตอนนั้นอยากหาแรงบันดาลใจ ไม่อยากให้ตัวเองฟุ้งซ่าน ก็เลยลุกออกมาวิ่งกับรุ่นพี่ที่ชักชวน รายการแรกผ่านไปด้วยดี หลังจากนั้นเริ่มติดใจ คล้าย ๆ จะเริ่มมีความบ้า เขาว่าอย่างนั้นเพราะสมัครวิ่งไว้เกือบทุกอาทิตย์

“ตอนนั้นคิดว่าต้องไปให้ได้นะ อีกครึ่งชั่วโมงเท่านั้น นั่นแหละเราก็ผ่านมาได้ มีคนยอมแพ้หลายคนนะ นั่งรถพยาบาลกลับไป ก็ท้อนิดนึง แต่คิดว่าเราจะไม่นั่งแบบนั้นนะ เรามาไกล มาจากปัตตานี เราต้องจบให้ได้”

และเขาก็ทำได้จนจบ “ฟูลมาราธอน” แรกในชีวิตของ อัมราณ หะยะแวนาแว หรือ รัน ของเพื่อน ๆ นักวิ่งที่รู้จักกัน แม้จะมีเพื่อน ๆ ของเขาหลายคนเป็นห่วงหลังจากวิ่งจบ เพราะรันหายไป ติดต่อไม่ได้ และเฟซบุ๊กส่วนตัวเขาที่ปกติจะมีรายงานความคืบหน้าตลอดก็หายไปด้วยเช่นกัน รันบอกว่า

“รัน ไม่ได้หายไหน ตอนวิ่งฟูล ไม่ได้เจ็บอะไรด้วย แต่ที่หายไปเพราะโทรศัพท์โดนฝน แล้วเราก็อยากจะพักผ่อนให้เต็มที่ก่อน กลับมาถึงโรงแรมปุ๊บ สลบไปเลย พอตื่นขึ้นมาตกใจมาก คอมเม้นท์ ข้อความ เยอะมาก ทุกคนเป็นห่วงเรา มันเป็นฟูลแรกของเราด้วยไง”

ขอบคุณภาพ อัมราณ หะยีแวนาแว

ฟูล (Full) มาจากคำเต็มๆว่า ฟูลมาราธอน (Full Marathon) ซึ่งก็คือเต็มมาราธอน โดยจะมีระยะทาง 42.195 กิโลเมตร รัน เลือกสมัครรายการวิ่งมาราธอนแรกของเขากับสนามลากูนา ภูเก็ต มาราธอน 2019 เมื่อช่วงเดือนมิถุนายนที่ผ่านมากับเหตุผลเดียว “เพราะอยากวิ่งกับพี่ตูน” เขาบอกอย่างนั้น

“มีตอนที่พี่ตูนมาวิ่ง เบตง แม่สาย แล้วที่ปัตตานีได้มีโอกาสเจอพี่ตูนตรงนั้น อยากวิ่งกับพี่ตูนอีกรอบก็เลยหาว่ามีงานไหนบ้างที่พี่ตูนไปวิ่ง ก็มีลากูนา เราก็สมัครลากูนาเลย ไม่ถามอะไรแล้ว สมัครเลย ก็เลยสมัครฟูลมาราธอน เป็นฟูลแรกที่ลากูนา ก็ได้เจอพี่ตูน ก็รู้สึกมีแรงฮึดเลยตอนนั้น วิ่งกับพี่เต๋า (สมชาย เข็มกลัด)ด้วย”

นอกจากการได้เจอ ได้วิ่งกับพี่ตูนซึ่งเป็นไอดอลของรัน และพี่ตูนก็น่าจะเป็นไอดอลของนักวิ่งอีกหลาย ๆ คน การวิ่งมาราธอน ซึ่งมีระยะทางไกลร่วม 42 กม. ยังเป็นสิ่งท้าทายสำหรับนักวิ่งทุกคน ที่ครั้งหนึ่งก็อยากพิชิตระยะให้ได้ แม้ว่าหนทางนั้น 42 กม.นั้นไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ สำหรับอัมราณ เขาบอกว่าโชคดี และเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก

“ฟูลแรกประทับใจ มันทำให้เราคิดว่า ไม่ต้องกลัวอะไรอีกแล้ว เพราะเราเจอความชันของเส้นทาง เจอฝน ทำให้รู้สึกว่าจบฟูลแรกที่ลากูนา จะไปที่ไหนต่อก็ได้ คิดอย่างนั้นเลย สนามลากูนาเป็นสนามที่โหดอีกหนึ่งสนาม ถ้าเราผ่านมันมาได้ คิดว่าที่อื่นก็ง่ายแล้วสำหรับเรา”

“ช่วงก่อนหน้านี้ สมัครวิ่งเกือบทุกอาทิตย์ ความบ้า บ้าพลัง เรามีพลังงานที่มันได้รับจากเพื่อน ๆ มิตรภาพ รอยยิ้ม เห็นเหรียญสวย เราก็ทลายความเครียดด้วย เวลาเครียดก็ไปวิ่ง เรามีความบ้า และต้องมีความกล้าด้วย ไม่ใช่บ้าสมัคร ๆ อย่างเดียว แต่ไม่กล้าที่จะไป”

ความกล้า และบ้า ของรัน ที่ทำให้เขาออกวิ่งเกือบทุกอาทิตย์ แม้ว่าเขาจะไม่ได้นักวิ่งล่ารางวัล แต่เขาเป็นนักวิ่งล่ารูป ทุกสนามที่อัมราณไป เขาจะมีรูปจากงานวิ่งเยอะ จนได้รับฉายาว่า “รันร้อยรูป” นักวิ่งหลายคนคงจะเคยเจออารมณ์ร้อยรูปแต่มีดีแค่ภาพ สองภาพเท่านั้น แต่ของรัน ร้อยรูปของเขาดีเกือบทุกรูป แต่ก็ไม่ใช่จะได้มาง่าย ๆ บางครั้งถ่ายใหม่ก็มี

“ความสุขอะ รูปต้องเป๊ะ เสียตังค์ไปกับรูปก็เยอะ ก็ช่วยสนับสนุนกันไป เราได้รูปสวยด้วย เทคนิคคือ ต้องวิ่งห่าง ๆ คน เราไม่ทำเวลา ไม่ได้เอาถ้วยอยู่แล้ว ก่อนจะวิ่งมันมีแผนที่ ตากล้องอยู่จุดไหนบ้าง พอเรารู้เส้นทาง เราก็วิ่งไป ถ้ามีคนตามมาก็รอให้เขาไปก่อน พอดูไม่มีคนเราก็ไป เราก็ส่งสัญญาณให้ตากล้องว่า โอเคนะ ก็ไป แล้วก็ถามว่าโอเคไหม ถ้าไม่โอเค ขออีกรูปหนึ่ง”

ไม่ใช่แค่รูปที่รันมีเยอะ แต่พรอพหรืออุปกรณ์ในการวิ่งของเขาก็ไม่น้อยเช่นกัน ไม่ว่าจะเป็นรองเท้า ยี่ห้อดัง ๆ ออกตัวมาใหม่ ๆ ไม่นานจะมาอยู่ในการครอบครองของรัน ซึ่งเขาบอกว่าเป็นรางวัลให้กับชีวิต

“รองเท้าวิ่งสิบกว่าคู่ ซื้อเยอะเพราะความบ้า และความชอบ อยากซื้อความสุขให้ตัวเอง เราทำงานเหนื่อย ๆ อยากจะให้รางวัลชีวิตแค่นั้น และก็โสดด้วย รองเท้า ผ้าบั๊บ หมวก ตอนวิ่งใหม่ ๆ ไม่ได้ใช้แบรนด์เนม พอหลัง ๆ ติดแบรนด์ ส่วนใหญ่ก็เป็นเงินเราเก็บมา”

ผ่านการวิ่งมาราธอนบนถนนมาก็แล้ว ก็ต้องผ่านการวิ่งเทรลในสนามโหด ๆ มาด้วยเช่นกัน รันเล่าว่าลงวิ่งเทรลครั้งแรก ๆ กับรายการสวนสัตว์สงขลา เป็นเทรลเล็ก ๆ เส้นทางไม่โหด เริ่มติดใจ และเริ่มเข้าสู่วงการวิ่งเทรลจริงจังกับบาลาเทรลเมื่อปีที่แล้ว

“บาลาเทรล เป็นเทรลแรกที่คิดว่าโหด แต่ก็คิดว่าเส้นทางแบบนี้แหละ ที่เรายังอยากจะไปอีก ไม่เข็ด ปีแรกลง 12 กม. ปีนี้ลง 30 กม. เป็นการที่ต้องพุ่งไปในระดับสูงสุดของมัน กม.สุดท้ายของบาลาที่มันต้องขึ้นเขาสูงมาก มันเจ็บปวดมาก ก็ไม่คิดว่าจะโหดขนาดนี้ แต่เราก็ต้องไปให้ได้ ตอนนั้นท้อ เห็นพี่นักวิ่งคนหนึ่งเดินกลับมา เราตกใจว่าเราต้องขึ้นไปข้างบน แล้วต้องกลับมาทางเดิมเหรอ อารมณ์นั้นคือเหนื่อย ไม่ไหวแล้ว ตาย ก็ตาย เหอะ แต่อยากไปให้ได้ ไปรับไอ้นี่ (ริสแบน) นี่ยังไม่เอาออก สุดท้าย สุด ๆ มีความรู้สึกว่าฉันมาทำอะไรที่นี่ ทำไม RD (Race Director) หรือผู้จัดงานวิ่งโหดจัง”

ขอบคุณภาพ อัมราณ หะยีแวนาแว

อัมราณบอกพร้อมกับโชว์ริสแบนสีเหลืองของบาลาเทรลบนข้อมือตัวเอง เขาบอกใส่ไว้ย้ำเตือนว่าผ่านมันมาได้แล้ว เพราะใครที่วิ่งบาลาเทรล และไม่ได้ริสแบนนี้ ถือว่า DNF (Did Not Finish) หรือวิ่งไม่จบนั่นเอง อัมราณบอกว่า ตั้งแต่วิ่งมา เขาเองยังไม่เคยเจอประสบการณ์วิ่งไม่จบ และคงไม่มีใครอยากเจอสถานการณ์แบบนั้น

ล่าสุดอัมราณเพิ่งผ่านการวิ่งมาราธอนรายการใหญ่อีกหนึ่งรายการ เป็นมาราธอนที่สองของเขา คือรายการภูเก็ตธอน จ.ภูเก็ต เมื่อวันที่ 10 พ.ย. เขาบอกว่าได้สถิติเวลาวิ่งของตัวเองใหม่ ซึ่งถือว่าเร็วขึ้น ดีขึ้น “มันสุดยอดไปเลย ” พร้อมกับเปิดแผนที่วางไว้สำหรับการวิ่งปีหน้า

“ที่วางแผนไว้ ปีหน้าจะลงแค่ฮาล์ฟกับฟูล จะวิ่งงานใหญ่ ๆ ที่มันท้าทายกับตัวเอง อยากทำสถิติตัวเองบ้าง ก่อนหน้านี้เราวิ่งไม่ได้ทำสถิติ เราวิ่งไม่ได้แข่งกับใคร แข่งกับตัวเอง ปีหน้าสมัครไว้แล้วห้างาน นี่แหละที่ว่าตัวเองบ้า ลงฟูลหมดเลย อยากจะไปต่างประเทศด้วย”

แต่ความสำเร็จทั้งหลาย ทั้งหมดนี้ ของรันและนักวิ่งแต่ละคนก็ไม่ใช่ว่าจะได้กันมาง่าย ๆ หลายคนต้องพยายามฉุด รั้ง บังคับ ลุกขึ้นมาฝึกวินัยตัวเอง ตัวเองให้ลุกขึ้นมาซ้อม เพราะอุปสรรคใหญ่ของหลายคือ “ขี้เกียจ”

“เอาจริง ๆ ใครก็ทำได้ อยู่ที่ตัวเองจะกล้าพอที่จะทำหรือเปล่า ไม่ใช่พูดว่ากล้า กล้า แต่ไม่ทำ ก็เก็บไว้ตรงนั้นแหละ อย่างกับตื่นขึ้นมาแล้ว อยากวิ่งนะแต่ขี้เกียจ ความขี้เกียจนี่แหละ ทำให้เราไม่กล้าไปถึงจุดนั้นได้ ขี้เกียจอย่างเดียวคือปัญหา เราต้องทำลายกำแพงความขี้เกียจให้ได้ ต้องทลายมันให้ได้ ว่าเราต้องทำให้ได้ เราต้องออกไป ของผมคือ ต้องไป ต้องทำตามที่เราวางไว้ เราจะไม่มีข้ออ้างใด ๆ เราสุขภาพดีขึ้นจริง ๆ ไม่เจ็บ ไม่ป่วย ไม่ไข้อะไรเลย หน้าเด็กด้วย นี่ 28 แล้ว ไม่ใช่ว่าต้องแก่ไปตามกาลเวลา มีความรับผิดชอบมากขึ้น เราต้องมีเป้าหมาย”

(Visited 153 times, 1 visits today)
Close